ป้าตือ สมบัษร: ไอดอลทุกยุคสมัยที่หัวใจยังสนุกและเป็นกันเอง

ป้าตือ สมบัษร: ไอดอลทุกยุคสมัยที่หัวใจยังสนุกและเป็นกันเอง
ป้าตือ สมบัษร ชายวัย 63 ปีที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานบวกและมุมมองที่ทันสมัย ได้กลายเป็นไอดอลที่คนทุกช่วงวัยให้ความชื่นชอบและเคารพอย่างกว้างขวาง จากอดีตที่เคยถูกมองว่าเป็นคนแรงและเข้าถึงยาก วันนี้เขากลายเป็นที่ปรึกษาและเพื่อนที่พร้อมรับฟังทุกคนในสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความจริงได้มากขึ้น
การปรับตัวสู่ไอดอลแห่งโลกออนไลน์
ในรายการ WOODY FM ป้าตือได้เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เขาเชื่อว่าพลังงานที่เปลี่ยนไปไม่ได้มาจากตัวเขาเองเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการที่สังคมในปัจจุบันเปิดกว้างต่อการสื่อสารที่ตรงไปตรงมามากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากยุคก่อนที่ผู้คนอาจจะยังไม่พร้อมรับฟังความจริง การพูดตรง ชัดเจน และไม่อ้อมค้อมที่เคยทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวในอดีต กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับคนรุ่นใหม่
ป้าตือกล่าวว่า "เด็กไม่น่าจะกลัว เด็กคงจะเกรงกลัวด้วย... ภาษากายมันจะไม่พูดอะไรเลย แล้วคนจะจับทางไม่ถูก" เขาอธิบายว่าในอดีต ภาพลักษณ์ที่นิ่งเฉย การสวมแว่นดำ และการครุ่นคิดในใจ ทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าควรอยู่ห่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว "สมองฉันนี่โล่งหมดเลย" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินคนจากภายนอกอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
การเชื่อมต่อกับผู้คนของป้าตือเป็นสิ่งที่เขามีมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสังคมที่เปิดรับมากขึ้น ป้าตือเปรียบเทียบว่าเมื่อก่อนเขาพูดเหมือน "พูดผ่านไมค์" โดยที่ทุกคนต้องรับฟัง แต่ในยุคนี้ การสื่อสารต้องใช้ศิลปะที่เรียกว่า "Tailor-Made" หรือการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มและสถานการณ์
ศาสตร์แห่งการเชื่อมสัมพันธ์กับคนทุกช่วงวัย
ป้าตือได้แบ่งปันเคล็ดลับในการสร้างความสัมพันธ์กับคนต่างวัยได้อย่างน่าสนใจ โดยเน้นย้ำว่าแต่ละกลุ่มคนต้องใช้วิธีที่แตกต่างกัน:
กลุ่ม Baby Boomer (เพื่อนวัย 60+): ป้าตือเลือกที่จะไม่พูดเรื่องความแก่ ความเจ็บป่วย หรือปัญหาดราม่าในชีวิต แต่จะเน้นไปที่การสร้างความสุขในแต่ละวัน พูดคุยเรื่องราวตลกๆ ในอดีต และหลีกเลี่ยงการนินทาหรือพูดเรื่องที่เป็นพิษ (Toxic) เขาเชื่อว่าคนในวัยนี้ควรเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทาง เพราะทุกคนล้วนรู้ว่าปลายทางอยู่ตรงไหนแล้ว
กลุ่ม Gen X (วัย 40-50+): กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่แข็งแรงและมั่นคงทางการเงินแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือประสบการณ์ใหม่ๆ ป้าตือจะชวนพวกเขาไปทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น การเที่ยวบาร์ข้าวสาร หรือการลองชิมอาหารตามร้านเพิงเล็กๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมอบความสุขและความตื่นเต้นที่ต่างไปจากชีวิตประจำวัน
กลุ่ม Gen Y (วัย 30-40): ป้าตือมองว่ากลุ่มนี้กำลังอยู่ในช่วงสร้างความมั่นคงในชีวิต สิ่งสำคัญคือการทำตัวเป็นเพื่อน ไม่ใช่ครูหรือผู้ปกครอง เขาพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและคำแนะนำเมื่อถูกถาม โดยใช้ความสัมพันธ์ของตัวเองในการช่วยเหลือให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้า
กลุ่ม Gen Z (วัย 10-20+): ป้าตือถือว่ากลุ่มนี้คือ "ครู" ของเขา เขาไม่พยายามเข้าไปแทรกแซงหรือตั้งคำถามว่า "ทำไม" แต่จะเปิดใจเรียนรู้ทุกอย่างจากพวกเขา ทั้งเรื่องโซเชียล การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การกิน ป้าตือยกตัวอย่างว่าคนรุ่นใหม่กินอาหารง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นอิสระ
การกลายพันธุ์ทางพลังงานสู่การเป็น "Extra"
ป้าตือได้เรียนรู้สิ่งสำคัญจากการใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งหิ้วหวี เขาพบว่าการวางตัวเป็น "แม่เลี้ยงเดี่ยว" ที่เป็นเหมือนเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ได้กลายเป็นความสุขที่เติมเต็มในชีวิต เขาเล่าว่าเวลาอยู่กับพวกเขา เขาไม่ได้คิดว่าต้องเป็นผู้นำเสมอไป แต่พร้อมที่จะเป็นเพียง "Extra" หรือคนส่วนเกินที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
"ฉันไม่จำเป็นต้องไป Lead บางทีเราไปเป็น Extra นะ เพื่อซัพพอร์ทให้เขา" ป้าตือกล่าว การเปลี่ยน mindset จากการเป็นผู้นำสู่ผู้สนับสนุน ทำให้เขาสามารถกลมกลืนกับทุกคนได้อย่างลงตัว และยอมรับว่าทุกสถานการณ์และทุกกลุ่มเพื่อนมีช่วงเวลาที่แตกต่างกัน บางครั้งก็ต้องเป็นผู้นำ บางครั้งก็เป็นผู้ฟังเงียบๆ ซึ่งการปรับตัวนี้เองที่ทำให้ป้าตือยังคงเป็นที่รักและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทุกยุคทุกสมัย
- ป้าตือ สมบัษร: ไอดอลทุกยุคสมัยที่หัวใจยังสนุกและเป็นกันเอง
- เมื่อแมวจ้องหน้า: ไขความลับภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
- 27 ปีในห้องผ่าตัด: รองเท้าที่ไม่เคยทิ้งกัน
- การสูญเสียของนักร้องหนุ่ม เบิ้ล ปทุมราช ที่ได้เผชิญหน้ากับความโศกเศร้าครั้งใหญ่จากการจากไปของน้องชาย
- เมื่อปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นเพื่อนสนิท: ครอบครัวในแคลิฟอร์เนียฟ้อง ChatGPT เหตุเชื่อว่ามีส่วนในการเสียชีวิตของลูกชาย